"วสันต์ สายรัศมี"อาสากู้ภัยพยานปากสำคัญ 6 ศพวัดปทุมฯ "ขอมีชีวิตเพื่อคนตาย"
 


"วสันต์ สายรัศมี"อาสากู้ภัยพยานปากสำคัญ 6 ศพวัดปทุมฯ "ขอมีชีวิตเพื่อคนตาย"



นายวสันต์ สายรัศมี หรือ เก่ง อาสาสมัครกู้ภัย ผู้สูญเสียเพื่อนร่วมกลายเป็นศพ 3 ราย ถูกยิงเสียชีวิตนอนตายในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ขณะที่กำลังช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในเต็นท์พยาบาล  


"วสันต์" หนุ่มกู้ภัยวัย 27 ปี ผู้มีใจรักงานอาสามาตั้งแต่อายุ 14 ปี ไม่พลาดทุกเหตุการณ์ที่มีการสูญเสียโดยไม่แยกฝ่าย ควักเงินเก็บส่วนตัวจากงานรับ-ส่ง เลือด-ยาไปส่งตามโรงพยาบาล แบ่งบางส่วนไปซื้อยาและเครื่องมือแพทย์ไว้คอยปฐมพยาบาลฉุกเฉินทั้งในยามปกติและมีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน แม้กระทั่งรถกระบะกู้ชีพเป็นรถยนต์ส่วนตัวเพลิงลุกไหม้วอดวายไปในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ก็ไม่เคยออกมาเรียกร้องหาคนรับผิดชอบเพียง แค่ได้ช่วยเหลือคนก็เพียงพอแล้วสำหรับหนุ่มคนนี้


เมื่ออาสากู้ชีพได้รับหมายเรียกจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ให้เข้าไปรายงานตัวเหมือนกับอีกหลาย ๆ คน อาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง

 

"กู้ภัยไม่เกี่ยวข้องทำไมถึงถูกเรียกเข้าไปพบ ศอฉ. "

 

คำถามที่ นายวสันต์ ถามตัวเองและเป็นเหตุผลที่ไม่ยอมเข้าไปพบศอฉ.แต่ยอมใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ


"ลำบากมากจากชีวิตคนคนหนึ่งเคยทำงานตอนเช้าเย็นกลับบ้าน เสาร์-อาทิตย์ พาลูกไปเที่ยว ต้องอยู่อย่างโจรต้องคอยหลบตรงนั้นตรงนี้โดนตาม โดนไถ่ถาม เหมือนวันที่เอาหมายเรียกไปติดหน้าบ้านให้เข้ารายงานตัว ผมเป็นกู้ชีพคนหนึ่งที่ช่วยเหลือชาวบ้านแต่มองผมเป็นเหมือนผู้ก่อการร้าย  อย่างตอนนี้ผมก็ไม่มีงานทำเพราะผมมีชื่อใน ศอฉ.ไม่มีที่ไหนรับเข้าทำงานที่เดิมก็ไม่ให้ทำ ต้องหลบๆซ่อนๆ ถ้าเขาจับตัวผมไปก็จบชีวิตแค่นั้น" นายวสันต์ ระบายความรู้สึก

 

"ผมพร้อมที่จะไปเป็นพยานพูดถึงสิ่งที่เห็นและผมมีหลักฐานที่จะแสดงให้ทุกคนเห็น ว่า สิ่งที่รัฐบาลทำกับประชาชนมากแค่ไหน กู้ชีพที่เสียชีวิต 5 คน รัฐบาลยังไม่ได้ออกมาพูดอะไรเลย ผมมีทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ ที่เกิดขึ้นรวบรวมจากชาวบ้านช่างภาพที่อยู่ในเหตุการณ์ว่าทหารยิงหรือไม่ หากวันหนึ่งผมเป็นอะไรไปข้อมูลที่ผมมีได้ฝากไว้กับเพื่อนที่ไว้ใจได้และพร้อมที่จะออกมาต่อสู้แทนผม เพื่อจะนำความจริงออกมาให้ทุกคนเห็นได้ "


"ผมต้องมีชีวิตเพื่อช่วยคนที่มีชีวิตอยู่และทวงความยุติธรรมกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว จะสู้จนลมหายใจสุดท้ายต่อให้นานแค่ไหนก็ไม่ท้อขอแค่ยังมีชีวิตอยู่จะสู้ต่อไป ผมไม่ได้ทำอะไรผิดผมเป็นกู้ชีพมีบัตรเป็นกลางช่วยทุกฝ่ายทหารโดนยิงก็ช่วย ผมเสียรถกระบะไป 1 คันในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ที่สี่แยกคอกวัว หลังจากลงไปช่วยคนแก่หันไปอีกทีรถไม่เหลืออะไรแล้วไฟลุกท่วมทั้งคัน ผมไม่เคยออกมาเรียกร้องให้ใครชดใช้เอารถคืน"

 

สิ่งที่นายวสันต์ เสียใจที่สุดคือ การสูญเสียเพื่อนกู้ภัย โดยเฉพาะ "ปลั๊ก"หรือ"อ๊อฟ"นายอัครเดช ขันแก้ว  ชาวกาฬสินธุ์เป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ใช้อะไรง่ายมาร่วมชุมนุมกกับพ่อแม่และสนใจงานกู้ชีพ "เขาตายคามือผม อ๊อฟเขาเห็นเกด น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาโดนยิงเขาก็มุดเข้าไปในเต็นท์ไปช่วยเกดแล้วโดนยิงที่แขน 1 นัด กระพุงแก้ม 1 นัดและโดนซ้ำที่หลังอีก 2 นัด หลังจากถูกยิงเขาล้มลง ผมพาเขามาปฐมพยาบาลให้น้ำเกลือทำเท่าที่กำลังเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ที่เราจะทำได้ในขณะนั้นเพราะไม่สามารถนำตัวออกไปส่งโรงพยาบาลได้พยายามทำทุกอย่างแต่เขาก็เสียเลือดมากได้เพียงแต่นั่งมองดูจนเขาหมดลมหายใจสุดท้าย เพราะไม่สามารถนำตัวออกไปได้ทุกคนพยายามจะออกไปแต่กลับโดนยิง"

 

"อ๊อฟไม่ใช่ศพแรกที่ผมเห็นก่อนเกิดเหตุวันที่ 19 พ.ค.แม้กระทั่งคนที่นั่งหมอบข้างๆผมยังถูกยิงเสียชีวิตข้างผมก็มีบางคนที่ยังมีลมหายใจก็ช่วยยื้อนำส่งโรงพยาบาลต่อไป"


นายวสันต์ เล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. ที่แยกศาลาแดง หลังเสธ.แดงโดนยิง จากนั้นมีประชาชนถูกยิงแถวสะพานไทย-เบลเยี่ยมหลังจากที่ถือกล้องไปถ่ายรูป เป็นศพที่ 2 จากเสธ.แดง ตอนนั้นตระเวนอยู่รอบนอก จากนั้นมีการยิงกันเกิดขึ้น


วันที่ 14 พ.ค. ภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นคือมีภาพชายคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาหลบกระสุนปืนบริเวณฐานอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 โดนยิงที่อกข้างซ้ายและคอเสียชีวิต แต่มันไม่หยุดแค่นั้นยังมีคนโดนยิงแขน ขาเราก็ช่วยพยาบาลเบื้องต้นห้ามเลือดทำแผลส่งโรงพยาบาลตำรวจ แต่ที่ยังจำได้ติดตา คือ คนที่อยู่ข้างๆอยู่ยิงที่ศีรษะเสียชีวิต จากนั้นก็เงียบลงกระทั่งตอนใกล้ค่ำมีคนดื่มกาแฟแล้วล้มลง ช็อค จำนวนมาก กระทั่งดึกมีการยิงกันดุเดือดมากที่ศาลาแดง เป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดกลางเมืองไทย 


"คืนนั้นประมาณตี 1 มีมาปลุกผมให้ไปดูที่เกิดเหตุว่ามีคนถูกยิงเสียชีวิต 1 ราย เป็นประชาชนขี่รถมอเตอร์ไซต์มาแล้วโดนทหารยิง เพราะวิถีกระสุนออกมาจากสวนลุมพินี ซึ่งในสวนนั้นมีแต่ทหารไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดง"


วันที่ 19 พ.ค. ที่แยกศาลาแดง  เป็นวันที่ร้ายแรงที่สุด "ตอนเช้าผมอยู่บริเวณศาลาแดงทุกสิ่งทุกอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นมันได้เกิดขึ้น มีชายชุดดำผ้าพันคอสีเขียวนอนตายบนถนนที่ ศอฉ. บอกว่าโดนยิงตั้งแต่กลางคืนแต่เสื้อแดงมาจัดฉากไว้ นั่นเป็นศพแรกที่เสียชีวิตตรงศาลาแดงและมีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปช่วยประชาชนกลุ่มนั้นที่เข้าไปช่วยได้เสียชีวิตอีก 3 รายและเจ็บจนนับไม่ถ้วนเลยเมื่อตอนเช้า


เกือบเที่ยงวันประชาชนได้ถอยร่นมาถึงแยกราชดำริ ส่วนชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่บริเวณแยกสารสินถูกจับกุมหมดแล้ว ส่วนคนที่ถอยกลับมาขนยางรถยนต์มากั้นเพื่อหลบวิถีกระสุนทหาร จากนั้นเสียงปืนได้เงียบลง


"บ่าย 3 โมงกว่า  แกนนำได้ประกาศยุติการชุมนุมให้ประชาชนกลับบ้านแล้วก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น มีการเผาตึกทำลายข้าวของแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนเสื้อแดงหรือเปล่า แต่วสิ่งที่ผมเห็นคือมีคนแก่หน้าเวที ตกใจ ล้มลง ผมก็นำส่งเข้าโรงพยาบาลตำรวจ จากนั้นทุกคนกระจัดกระจายไปอยู่ตามวัดปทุมวนาราม โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจ และอาคารต่างๆ


บ่าย 5 โมงกว่า เริ่มมีเสียงปืนดังเกิดขึ้นตั้งแต่ตรงข้างสยามพารากอนเริ่มมีเสียงปืนดังเข้ามาบริเวณวัด การยิงของทหาร คือ กราดยิงเข้ามาเรื่อยๆไม่มีคำว่าหยุดยิงลงมาจากลานรถไฟฟ้า บีทีเอส ชั้น 2  ภาพที่ประชาชนส่วนมากมองขึ้นไป คือ "เห็นทหารยืนอยู่ข้างบนมีการกราดยิงมาใส่ประชาชนข้างล่างที่ไม่มีแม้แต่อาวุธมีเพียงเสื้อผ้า หมอน น้ำดื่ม ที่ใช้ประทังชีวิต"


หลายคนโดนยิงแต่สิ่งที่สะเทือนใจที่สุดคือ เห็นออฟโดนยิงแล้วล้มลงลงไปชักต่อหน้าต่อตา ตอนเช้าสิ่งที่ได้เผชิญมาคิดว่ามันร้ายแรงที่สุดแล้วในสังคมไทย แต่พอมาเกิดเรื่องในวัดมันกลับแย่มากกว่า ม



// //

Copyright (c) 2010 munjeed.com All rights reserved.